ท่าชกลม JABS ยืนตรงแยกขาออกให้กว้างเท่ากับความกว้างของไหล่ เอียงลำตัวเล็กน้อยเหมือนกำลังต่อสู้ เริ่มด้วยยกมือขึ้นกำหมัดมาอยู่ระดับไหล่ ใช้แขนด้านหน้าชกลมออกไป เกร็งแขนแล้วกลับมาในท่าเริ่มต้น แล้วทำซ้ำ ให้หยุดพักสั้นๆ ระหว่างการปล่อยหมัดของแขน แต่ละข้าง ทำให้จำนวนครั้ง เท่าๆกัน
เป็นการฝึกความเร็ว และทำให้หมัด มีน้ำหนัก
วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555
วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555
Amino Max8000
Gaspari Nutrition® AminoMax 8000 AMINOMAX 8000TM ของ Gaspari Nutrition เป็นส่วนผสมจากการคิดค้นทางวิทยาศาสตร์ โดยมีนมที่ผ่านกระบวนการไฮโดรไลซ์ (hydrolyzed lactalbumin) จากเวย์โปรตีน 91% รวมถึงโปรตีนที่ถูกย่อยให้อยู่ในรูปของโปรตีนโมเลกุลเล็ก (low molecular weight proteins) ได-/ไตร-เปปไทด์ (di-/tri-peptides) และกรดอะมิโนที่อุดมไปด้วยแอล-ลิวซีน (L-leucine) และแอล-ทอรีน (L-taurine) ซึ่งได้รับการทดสอบแล้วว่าให้ประโยชน์กับนักกีฬาและนักเพาะกายได้มากกว่า
นี่เป็นสูตรพิเศษที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อลูกค้าที่คำนึงถึงคุณภาพเป็นสำคัญ (educated consumer) มีประโยชน์สูงและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี ซึ่งช่วยขยายพื้นที่ของกล้ามเนื้อที่จำเป็นต่อการเติบโตและบำรุงรักษาเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อลาย (skeletal muscle tissue) และมวลกล้ามเนื้อลาย (skeletal muscle mass) ต่างจากอาหารเสริมยี่ห้ออื่นที่ใช้เวย์โปรตีนชนิดคอนเซนเทรท (Whey Protein Concentrate) และชนิดไอโซเลต (Isolate) ที่มีโมเลกุลที่มีขนาดใหญ่มาก AMINOMAX 8000TM ใช้โปรตีนที่ผ่านกระบวนการไฮโดรไลซ์ (hydrolyzed protein) ที่อุดมไปด้วยได-/ไตร-เปปไทด์ที่ทำให้มั่นใจได้ถึงการดูดซึมที่แสนรวดเร็วที่ส่งตรงถึงกล้ามเนื้อของคุณ* นอกจากได-/ไตร-เปปไทด์ที่ให้ผลได้อย่างรวดเร็วแล้ว Gaspari Nutrition ยังเพิ่มแอล-ลิวซีน และแอล-ทอรีนเข้าไปใน AMINOMAX 8000TM มากเป็นพิเศษ เพื่อให้นักกีฬาที่มีความมุ่งมั่นได้รับผลประโยชน์มากที่สุดจากการใช้อาหารเสริมควบคุมน้ำหนักของเรา เห็นผลเร็วสุดๆ กับ AMINOMAX 8000TM *รายงานเหล่านี้ยังไม่ได้รับการประเมินจากองค์การอาหารและยา ผลิตภัณฑ์นี้ไม่ได้มีไว้สำหรับการวินิจฉัย ป้องกัน และรักษาโรคใดๆ
ป้ายกำกับ:
แกสปารี่,
โปรตีนเม็ด,
อมิโนแมก,
Amino Max8000
วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555
บริหารมือเปล่าคุณทำได้
ป้ายกำกับ:
ฝึกมือเปล่าคุณทำได้
วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555
ยิ่งฝึกกล้ามเร็วยิ่งดี
สร้างมัดกล้ามทำไมต้องรอด้วย
สำหรับการสร้างกล้าม สไตล์ howtofit รับรองงานนี้ คุณได้โชว์กล้ามสวยๆแน่นอนครับ
ขั้นแรกให้คุณ วอร์มร่างกายด้วยการ กระโดดเต้นเชือก สัก 5-8 นาทีก่อน เพื่อวอร์มร่างกายให้อบอุ่น พร้อมกับการฝึกหนัก ต่อไป
การฝึกโปรแกรม กับเรา นอกจากการใช้เวลาน้อยที่สุดแล้วยัง ได้ผล คุ้มค่า ไม่เสียเวลา สำหรับคนที่มีเวลาน้อยเช่นคุณ
1 Double -Lunge Deadlift Combo
ยืนแยกเท้าออกเท่าความกว้างช่วงไหล่ ส่วนมือถือดัมเบลไว้ข้างลำตัว เร่ิมฝึกด้วยการก้าวและย่อตัวลงไปด้านหน้าในท่า Lunge ไปด้านหลัง แล้วลุกขึ้นและยกเท้าขวาเตะไปด้านหลังค้างไว้เพื่อเตรียมทำท่า One Leg Deadlift เริ่มจาำกการโน้มลำตัว ช่วงบนตั้งแต่เอวไปด้านหน้า ยืดอกไว้และไม่ห่อไหล่ ให้ถือดัมเบลไว้ในระดับเข่า จากนั้นออกแรงดันตัวขึ้น แล้วเปลี่ยนสลับเท้ายืนและฝึกอีกครั้ง ทั้งหมดนับเป็น 1 ครั้ง ฝึกจนครบ 9 ครั้ง
2 Dumbell Push Up ,Dumbell Row
จากท่าแรก ให้คุณถือดัมเบล ไว้ตามเดิม ตั้ท่าวิดพื้นโดยแยกมือออกเท่าความกว้างช่วงไหล่ เริ่มฝึกด้วยการงอข้อศอกเพื่อลดตัวลง จากนั้นในจังหวะขึ้นให้ยกตัวชึ้นด้วยแขน ซ้ายข้างเดียว ส่วนแขนขวา ให้ยกดัมเบลขึ้นในท่า Row แล้วลดแขนขวาลงและฝึกอีกครั้งโดยเปลี่ยนสลับข้าง ฝึกครบสองข้างนับเป็น1 ครั้ง ฝึกจนครบ 9ครั้ง
3 Towel Pike
ตั้งท่าวิดพื้นโดยวางมือบนดัมเบล และแยกมือออกเท่าความกว้่างช่วงไหล่ ส่วนปลายเท้าทั้งสองข้างให้ืยืนบนผ้าขนหนู เริ่มฝึกด้วยการออกแรงจากกล้ามเนื้อท้องเพื่อสไลด์เท้าสองข้างมาด้านหน้า และหยุดเมื่อลำตัว ของคุณเป็นรูป "วีคว่ำ" แล้วย้อนกลับสู่ท่าเริ่มต้น ฝึกจนครบ 9 ครั้ง
จากบทความ Men Health ปี 2008
สำหรับการสร้างกล้าม สไตล์ howtofit รับรองงานนี้ คุณได้โชว์กล้ามสวยๆแน่นอนครับ
ขั้นแรกให้คุณ วอร์มร่างกายด้วยการ กระโดดเต้นเชือก สัก 5-8 นาทีก่อน เพื่อวอร์มร่างกายให้อบอุ่น พร้อมกับการฝึกหนัก ต่อไป
การฝึกโปรแกรม กับเรา นอกจากการใช้เวลาน้อยที่สุดแล้วยัง ได้ผล คุ้มค่า ไม่เสียเวลา สำหรับคนที่มีเวลาน้อยเช่นคุณ
1 Double -Lunge Deadlift Combo
ยืนแยกเท้าออกเท่าความกว้างช่วงไหล่ ส่วนมือถือดัมเบลไว้ข้างลำตัว เร่ิมฝึกด้วยการก้าวและย่อตัวลงไปด้านหน้าในท่า Lunge ไปด้านหลัง แล้วลุกขึ้นและยกเท้าขวาเตะไปด้านหลังค้างไว้เพื่อเตรียมทำท่า One Leg Deadlift เริ่มจาำกการโน้มลำตัว ช่วงบนตั้งแต่เอวไปด้านหน้า ยืดอกไว้และไม่ห่อไหล่ ให้ถือดัมเบลไว้ในระดับเข่า จากนั้นออกแรงดันตัวขึ้น แล้วเปลี่ยนสลับเท้ายืนและฝึกอีกครั้ง ทั้งหมดนับเป็น 1 ครั้ง ฝึกจนครบ 9 ครั้ง
2 Dumbell Push Up ,Dumbell Row
จากท่าแรก ให้คุณถือดัมเบล ไว้ตามเดิม ตั้ท่าวิดพื้นโดยแยกมือออกเท่าความกว้างช่วงไหล่ เริ่มฝึกด้วยการงอข้อศอกเพื่อลดตัวลง จากนั้นในจังหวะขึ้นให้ยกตัวชึ้นด้วยแขน ซ้ายข้างเดียว ส่วนแขนขวา ให้ยกดัมเบลขึ้นในท่า Row แล้วลดแขนขวาลงและฝึกอีกครั้งโดยเปลี่ยนสลับข้าง ฝึกครบสองข้างนับเป็น1 ครั้ง ฝึกจนครบ 9ครั้ง
3 Towel Pike
ตั้งท่าวิดพื้นโดยวางมือบนดัมเบล และแยกมือออกเท่าความกว้่างช่วงไหล่ ส่วนปลายเท้าทั้งสองข้างให้ืยืนบนผ้าขนหนู เริ่มฝึกด้วยการออกแรงจากกล้ามเนื้อท้องเพื่อสไลด์เท้าสองข้างมาด้านหน้า และหยุดเมื่อลำตัว ของคุณเป็นรูป "วีคว่ำ" แล้วย้อนกลับสู่ท่าเริ่มต้น ฝึกจนครบ 9 ครั้ง
จากบทความ Men Health ปี 2008
ป้ายกำกับ:
ฝึกกล้ามเร็วๆกลับดี
วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555
วิ่งเพื่อลดไขมัน
เหตุที่เราต้องออกมาวิ่งมาราธอนกันอย่างช้าๆในตอนต้น ก็ด้วยเหตุว่า การวิ่งช้านั้นเผาผลาญไขมันที่มีมากในร่างกาย แต่ถ้าวิ่งเร็ว ร่างกายก็จะดึงพลังงานมาจากสารกลัยโคเจนที่ร่างกายสกัดมาจากสารแป้งทั้งหลาย ที่มันมักจะหมดเร็วก่อนถึงเป้าหมาย แม้ว่ามันจะเป็นสารให้พลังงานที่ดี แต่เราไม่สามารถบรรจุกลัยโคเจนได้มากนักในร่างกาย เพราะมันมีกล้ามเนื้อและตับที่จำกัด
ส่วนไขมัน ดูๆยังไงมันก็ไม่ยอมหมดไปอย่างง่ายๆ ในมาราธอนหนึ่งๆเราสลายไขมันไปได้จี๊ดเดียวเอง นักวิทยาศาสตร์รายงานว่า เราไม่มีทางที่จะสลายไขมันให้เกลี้ยงไปจากร่างกายได้ แม้ว่า (ที่ไม่มีทางเป็นไปได้จริง) เราจะวิ่งไม่หยุดจนร่างกายสิ้นสภาพ ตายไปอย่างฟิดิปปิดีสในตำนานมาราธอน เราก็ยังเหลือไขมันอีกพอสมควร ฟิดิปปิดีสตายไม่ใช่เพราะไขมันหมด แต่เขาตายเพราะอย่างอื่น
มีนักวิทยาศาสตร์ เคยคำนวณ (ที่ไม่มีทางเป็นไปได้จริงอีก) ว่า ไขมันในร่างกายที่มีอยู่สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงให้กำลังงานเดินทางด้วยการวิ่งไปได้ไกลขนาดไหน ก็ได้คำตอบว่า วิ่งรอบโลกได้ถึง 2-4 รอบ แล้วแต่ความแตกต่างของระดับไขมันในตัว
จากความเป็นจริงอย่างนี้เอง ทำให้มีการสรุปถึงการออกกำลังกาย เพื่อลดความอ้วนเพื่อลดน้ำหนัก หรือเพื่อสลายไขมันแล้วแต่จะเรียก ที่มีประสิทธิภาพว่า จะต้องวิ่งให้ช้า (เพื่อผลาญไขมัน) ไม่ใช่วิ่งเร็วที่ไปเผาผลาญแป้งแทน เป็นทฤษฎีที่เชื่อกันอย่างแพร่หลาย จนกระทั่งทุกวันนี้
ฟังๆดูก็สมเหตุสมผลดี แต่ผิดครับ
อ้าว..แล้วไง จะต้องวิ่งให้เร็วหรือ ? ใช่ครับ ถ้านักวิ่งคนใดยังมีปัญหาควบคุมน้ำหนัก ที่ขนาดยังวิ่งอยู่นี้ ก็ยังคุมน้ำหนักไม่ได้ นี่ก็วิ่งมาได้หลายปีแล้ว น้ำหนักไม่เคยลดเลย อย่างนี้ต้องลงคอร์ทครับ ขอย้ำว่า สมควรเป็นวิธีการลดน้ำหนักในรายที่วิ่งอยู่แล้ว และไม่สมควรให้ไปทำในรายที่เพิ่งสลัดคราบ Sedentarian จากหน้าจอคอมพิวเตอร์มาหมาดๆ ค่าที่ว่าคุณจะเดี้ยง ที่ไขมันก็ไม่ได้ลด แถมได้อินจูรี่ติดกระเป๋ากลับบ้านอีกต่างหาก
จากการศึกษาของ Quebec’s Laval University สถาบันที่มีชื่อเสียงในการวิจัยกับมีห้องแหลบที่เชี่ยวชาญศึกษากระบวนการเผาผลาญไขมันเป็นเอก ได้รายงานผลการศึกษาในจุลสาร Metabolism ที่ทางนักวิจัยได้ศึกษาจาก Subjects หญิง 14 คน และ ชาย 13 คน โดยเปรียบเทียบการออกกำลังกาย 2 ชนิด คือ แบบธรรมดา (ต่อเนื่องปานกลาง) กับแบบ Interval – training (หนักสลับเบา) โดยใช้อุปกรณ์ที่เป็นจักรยานอยู่กับที่ ในคาบระยะเวลา 20 สัปดาห์
โดยให้กลุ่มแรก ปั่นแบบต่อเนื่อง นาน 30-45 นาที ที่ความเข้มราว 60-85% ของระดับอัตราชีพจรสูงสุด และอีกกลุ่มหนึ่งปั่นแบบลงคอร์ท ที่4-5X90 วินาที (ปั่นนาน 90 วินาที จำนวนประมาณ 4-5 เที่ยว) ในคาบระยะเวลาที่นานเท่ากัน แต่เป็นที่ความเข้มราว 95% ของชีพจรสูงสุด
ผลวิจัยพบว่า กลุ่มหลังสามารถเผาผลาญไขมันได้มากกว่าเยอะ ราว 3-4 เท่าของกลุ่มแรกทีเดียว ในขณะที่ใช้ แคลลอรี่ไปน้อยกว่าครึ่งด้วยซ้ำ การทดสอบนี้นักวิจัยวัดระดับไขมันจาก Skin-fold Caliper ที่วัดความหนาของผนังท้อง , ไหล่ ,ต้นแขน , ต้นขา , หลังบน , หลังล่าง เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ นักวิจัยจากควีเบค
อธิบายว่า
เพราะการออกกำลังกาย ชนิดเหนื่อยจัดมากๆ แม้มันจะเผาผลาญกลัยโคเจน ให้หมดเร็วระหว่างฝึกหรือแข่งก็ตาม แต่กระบวนการเมตาโบลิซึ่ม มิได้ยุติการทำงาน เพียงแค่จบสิ้นการออกกำลังกายเท่านั้น แต่ยังต่อเนื่องไปหลังการออกกำลังกายอีกนานหลายชั่วโมง ที่ตรงนี้เอง ร่างกายมิได้ใช้กลัยโคเจนอีกต่อไปแล้ว แต่กลับใช้ไขมันแทน
ถ้าเราจะสังเกตในวันที่เราฝึกลงคอร์ท , ในวันที่ฝึกหนัก , หรือในวันแข่ง ที่เย็นนั้นคืนนั้น เราจะมีชีพจรที่เต้นเร็วกว่าปกติ นั่นเป็นสัญญาณการเร่งกระบวนการเผาผลาญสารอาหาร เราจะรู้ได้แน่ชัดก็ต้องเก็บค่าสถิติชีพจรเต้นในวันฝึกเบาหรือวันหยุดเก็บไว้เพื่อเปรียบเทียบ
เย็นนั้น หลังจากที่คุณกินอาหาร ได้คาร์โบไฮเดรตใหม่เข้าไปให้ร่างกายแปลงเป็นกลัยโคเจนทดแทนที่หมดไปกับการออกกำลัง แต่กระบวนการเผาผลาญต่อเนื่องจากที่วิ่งไปเมื่อเย็นนี้ ยังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยจะค่อยๆลดลงในคาบระยะเวลาที่นานมาก จนดึกดื่น เราหลับใหลไปแล้ว ไขมันก็ยังถูกเผาผลาญอยู่เรื่อยไปอย่างนี้ไงครับที่มันแตกต่างจากแบบจ็อกเบาเสมอ ที่แม้จะเผาผลาญไขมันมากกว่ากลัยโคเจนขณะนั้นก็จริง แต่จบแล้วจบเลย หลังจากนั้น กระบวนการเผาผลาญมิได้เผาผลาญต่อหรือต่อ แต่น้อย
แต่ในความเป็นจริง ผู้ที่อยู่ในข่ายลดความอ้วนมักจะยังอ้วนอยู่ และผู้ที่ต้องการจะลดน้ำหนัก มักจะตัวหนักอยู่ จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่จะให้ผู้มีน้ำหนักและอ้วนมาฝึก Interval Session ลงคอร์ทหน้าตั้ง ซึ่งเป็นจำนวนมากทีเดียวมักจะไม่ใช่นักวิ่งที่มีประสบการณ์ ขายังไม่แข็งแกร่ง และอาจจะบาดเจ็บหากทำเช่นนั้น ดังนั้นประเด็นก็คือให้ค่อยๆเขยิบแผนฝึกทีละน้อย เหมือนหยดน้ำทีละหยดลงตุ่มด้วยความเพียร หรือออมสินวันละบาทจนเต็มหมู แต่ไม่ว่าจะอ้วนใหญ่หรือหนักขนาดไหน ย่อมจะพ่ายแพ้แก่ความบากบั่น ไม่มีอะไรที่เกินความสามารถมนุษย์ไปได้หรอก กัดไม่ปล่อยจนตัวตายก็มนุษย์ ขี้เกียจจนตัวตายก็มนุษย์ แล้วแต่เราจะเลือก
ถ้าคุณฟังและปิ๊ง อยากลองวิธีนี้ดู อย่างแรกที่แนะนำก็ให้ปรึกษาโค้ช หรือเพื่อนนักวิ่งผู้มีประสบการณ์น่าเชื่อถือได้ ให้ช่วยร่างแผนฝึกให้ แต่ถ้าหาไม่ได้ก็ร่างเอง โดยใช้หลักการจากน้อยไว้ก่อนที่ราว 60%ของชีพจรสูงสุด แล้วค่อยๆไล่เร็วขึ้นไปเรื่อยๆ อย่ากระโดดไปที่ 90%เลย เดี๋ยวจะเจ็บ ให้รู้จักบันยะบันยัง และจัดการ “แช่เย็น” ความเข้มนั้นให้คงระดับเดิมนิ่งอยู่อย่าเพิ่มเข้าไปอีก ทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายค่อยๆปรับและเรียนรู้กระทั่งซึมซับและควรจะให้มีแผนฝึก Interval Session นี้ เพียงวันเดียวในรอบสัปดาห์ ในชั้นต้น ผู้เขียนอยากให้คุณเซ็ทวันหยุดเพิ่มจาก1 วันต่อสัปดาห์ เป็น 2 วัน แล้วค่อยๆปรับกลับมาอย่างเดิมภายหลังจากอะไรๆเข้าที่แล้ว
สำคัญอีกเรื่อง อย่าเพิ่งเบื่อ คือ ต้องยืดเส้น และวอร์ม-อัพก่อนเสมอ คือ วิ่งช้าๆแบบห้ามเหนื่อย นานราว 20 นาที ก่อนลงมือ และอีกครั้งแบบเดียวกันเมื่อหลังฝึก แต่เราเรียกว่า “คูล-ดาวน์” อย่าลัดขั้นตอนเป็นอันขาด
ป้ายกำกับ:
วิ่งเพื่อลดไขมัน
แอลคานิทีนคืออะไร
แอลคานิทีน คืออะไรวันนี้มีคำตอบ ให้คุณได้ทราบกันครับ
เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ร่างกายจะได้รับจากอาหารที่รับประทาน และได้รับจากการ
สังเคราะห์ขึ้นมา
L-Carnitineสังเคราะห์มากจากกรดอะมิโนไลซีน ซึ่งร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นมา
เองได้ โดยใช้ Vitamin B6 ,B5 ,Vitamin C ,เหล็ก และกรดอะมิโนเมไทโอนีน
ส่วนแหล่งอาหารที่มี Carnitine ร่างกายจะได้รับมาจากเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งเนื้อแดง เช่นเนื้อวัว และเนื้อหมู
Carnitine มีหน้าที่ช่วยนำกรดไขมันเข้าไปเผาผลาญในไมโตคอนเดรีย (เพื่อเปลี่ยนให้
เป็นพลังงาน) คล้ายๆสายพานลำเลียงไขมันไปเผาผลาญนั่นแหละครับ
ซึ่งไมโตคอนเดรียจะทำหน้าที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังงาน คล้ายๆแบตเตอรี่รถยนต์ครับ
สิ่งที่ผู้ผลิตอาหารเสริมบอกกับคุณผู้ผลิตอาหารเสริมมักจะบอกว่า การได้รับ L-Carnitine ที่เพียงพอจะช่วยเผาผลาญไขมัน
ได้มากขึ้น และจะทำให้เซลล์นำไขมันไปเผาผลาญมากขึ้นแทนที่จะสะสมเป็น
“ไขมัน”
ดังนั้นจึงมีความคิดที่ว่า ถ้าให้ L-Carnitine มากขึ้น ก็น่าที่จะเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น
ดังนั้นจึงมักใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารเสริมสำหรับนักกีฬาและอาหารเสริมลด
น้ำหนัก
สิ่งที่ผู้ผลิตอาหารเสริม ไม่ได้บอกให้คุณรู้ทฤษฎีบอกว่าช่วยในการพากรดไขมันเข้าสู่ไมโตคอนเดรียเพื่อใช้ในการเผาผลาญมาก
ขึ้น แต่ความจริงในทางปฏิบัติสามารถเร่งการเผาผลาญไขมันได้จริงหรือ???
การทดลองหนึ่งในแมวอ้วน (แน่นอนครับ ไม่ใช่คน) เปรียบเทียบกับการได้รับ L-
Carnitine 250 มิลลิกรัมต่อวัน กับไม่ให้ เป็นระยะเวลา 18 สัปดาห์ พบว่าแมวอ้วนที่ได้
รับ L-Carnitine น้ำหนักลดลงได้เร็วกว่า
แต่การทดลองนี้ไม่ได้ทำในมนุษย์ครับ ซึ่งแน่นอนครับว่าสิ่งที่ได้ผลในแมว อาจไม่ได้
ผลในมนุษย์
การศึกษาว่าการให้ L-Carnitine จะสามารถช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันในมนุษย์ได้จริง
หรือไม่ น้อยมาก- น้อยมากมาก และเป็นข้อมูลที่ยังขัดแย้งกันอยู่ บางการศึกษาก็บอก
ว่าไม่ช่วย บางการศึกษาบอกว่าช่วยน้อยมากครับ
โดยปกติแล้วเราเองก็ได้รับ L-Carnitine จากอาหาร และสร้างขึ้นมาในร่างกายได้เอง
และมีการศึกษาว่า L-Carnitine ช่วยลดน้ำหนักได้ไม่มาก จนไม่มีความสำคัญในเรื่อง
ของการลดน้ำหนัก
มีการศึกษาหนึ่งได้ทดลองให้ L-Carnitine ในหญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีน้ำหนักเกิน
13 คน และเปรียบเทียบกับยาหลอก (ไม่ได้รับ L-Carnitine) 15 คน และให้รับประทาน
อาหารเหมือนๆกัน และออกกำลังกายเหมือนกัน ไม่พบความแตกต่างในดัชนีมวลกาย
มีการศึกษาอยู่อีกการศึกษาหนึ่งที่นำหญิงอ้วน 36 ราย ให้ L-Carnitine 4 กรัมต่อวัน เป็น
ระยะเวลา 60 วัน ให้ผลไม่แตกต่างจากเม็ดแป้ง ไม่ว่าจะเป็นผลในเรื่องของน้ำหนักตัว
หรือดัชนีมวลกาย แม้แต่การเผาผลาญไขมัน
โดยทั่วไปผลลัพธ์ในเรื่องของการเผาผลาญไขมันโดยใช้ L-Carnitine นั้น แทบจะไม่
ช่วยในเรื่องของการเร่งการเผาผลาญเลย ไม่เคยมีใครลดน้ำหนักส่วนเกินในร่างกายได้
จริงโดยการรับประทาน L-Carnitine เสริมหรอกครับ
L-Carnitine ค่อนข้างที่จะปลอดภัยนะครับ และผลข้างเคียงมีน้อยมากๆ ตอนนี้ยังไม่
ปรากฏว่าทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายใดๆ แต่อย่าลืมครับว่า “ปลอดภัย” ก็ไม่ได้
หมายความว่า “ได้ผล”
ถ้าคุณยังเลือกที่จะใช้ L-Carnitine อยู่ ในหลายๆการศึกษาแนะนำให้รับประทานวันละ
500 มิลลิกรัมต่อวัน (บางการศึกษาใช้มากถึง 5000-6000 มิลลิกรัมเสียด้วยซ้ำ)
ดังนั้นถ้าคุณเห็นในสลากอาหารเสริม(ส่วนใหญ่ ) เขียนไว้ว่ามี L-Carnitine รวมอยู่เพียง
แค่ 20 ,50 หรือ 100 มิลลิกรัมแล้วล่ะก็ ปริมาณเพียงแค่นั้น….ไม่ช่วยอะไรหรอกครับ
ในขณะเดียวกัน ก็เป็นอาหารเสริมที่จัดว่า แพงมาก เมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิต เมื่อ
เปรียบเทียบกับราคา กับผลลัพธ์แล้ว ไม่มีหลักฐานใดที่สนับสนุนว่าช่วยในการลด
ไขมันส่วนเกินได้จริง แต่ถ้าคุณจะรับประทานเพื่อหวังผลในเรื่องของสุขภาพทั่วไป
แล้ว ผมไม่ห้ามครับ
อ้างอิง-The clinical and metabolic effects of rapid weight loss in obese pet cats and the influence of
supplemental oral L-carnitine. - Center SA - J Vet Intern Med - 01-NOV-2000; 14(6): 598-608 (From
NIH/NLM MEDLINE)
-Carnitine does not improve weight loss outcomes in valproate-treated bipolar patients consuming an
energy-restricted, low-fat diet. - Elmslie JL - Bipolar Disord - 01-OCT-2006; 8(5 Pt 1): 503-7 (From
NIH/NLM MEDLINE)
-L-Carnitine supplementation combined with aerobic training does not promote weight loss in
moderately obese women. - Villani RG - Int J Sport Nutr Exerc Metab - 01-JUN-2000; 10(2): 199-207
(From NIH/NLM MEDLINE)
-Weight loss favorably modifies anthropometrics and reverses the metabolic syndrome in
premenopausal women. - Lofgren IE - J Am Coll Nutr - 01-DEC-2005; 24(6): 486-93
เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ร่างกายจะได้รับจากอาหารที่รับประทาน และได้รับจากการ
สังเคราะห์ขึ้นมา
L-Carnitineสังเคราะห์มากจากกรดอะมิโนไลซีน ซึ่งร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นมา
เองได้ โดยใช้ Vitamin B6 ,B5 ,Vitamin C ,เหล็ก และกรดอะมิโนเมไทโอนีน
ส่วนแหล่งอาหารที่มี Carnitine ร่างกายจะได้รับมาจากเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งเนื้อแดง เช่นเนื้อวัว และเนื้อหมู
Carnitine มีหน้าที่ช่วยนำกรดไขมันเข้าไปเผาผลาญในไมโตคอนเดรีย (เพื่อเปลี่ยนให้
เป็นพลังงาน) คล้ายๆสายพานลำเลียงไขมันไปเผาผลาญนั่นแหละครับ
ซึ่งไมโตคอนเดรียจะทำหน้าที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังงาน คล้ายๆแบตเตอรี่รถยนต์ครับ
สิ่งที่ผู้ผลิตอาหารเสริมบอกกับคุณผู้ผลิตอาหารเสริมมักจะบอกว่า การได้รับ L-Carnitine ที่เพียงพอจะช่วยเผาผลาญไขมัน
ได้มากขึ้น และจะทำให้เซลล์นำไขมันไปเผาผลาญมากขึ้นแทนที่จะสะสมเป็น
“ไขมัน”
ดังนั้นจึงมีความคิดที่ว่า ถ้าให้ L-Carnitine มากขึ้น ก็น่าที่จะเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น
ดังนั้นจึงมักใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารเสริมสำหรับนักกีฬาและอาหารเสริมลด
น้ำหนัก
สิ่งที่ผู้ผลิตอาหารเสริม ไม่ได้บอกให้คุณรู้ทฤษฎีบอกว่าช่วยในการพากรดไขมันเข้าสู่ไมโตคอนเดรียเพื่อใช้ในการเผาผลาญมาก
ขึ้น แต่ความจริงในทางปฏิบัติสามารถเร่งการเผาผลาญไขมันได้จริงหรือ???
การทดลองหนึ่งในแมวอ้วน (แน่นอนครับ ไม่ใช่คน) เปรียบเทียบกับการได้รับ L-
Carnitine 250 มิลลิกรัมต่อวัน กับไม่ให้ เป็นระยะเวลา 18 สัปดาห์ พบว่าแมวอ้วนที่ได้
รับ L-Carnitine น้ำหนักลดลงได้เร็วกว่า
แต่การทดลองนี้ไม่ได้ทำในมนุษย์ครับ ซึ่งแน่นอนครับว่าสิ่งที่ได้ผลในแมว อาจไม่ได้
ผลในมนุษย์
การศึกษาว่าการให้ L-Carnitine จะสามารถช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันในมนุษย์ได้จริง
หรือไม่ น้อยมาก- น้อยมากมาก และเป็นข้อมูลที่ยังขัดแย้งกันอยู่ บางการศึกษาก็บอก
ว่าไม่ช่วย บางการศึกษาบอกว่าช่วยน้อยมากครับ
โดยปกติแล้วเราเองก็ได้รับ L-Carnitine จากอาหาร และสร้างขึ้นมาในร่างกายได้เอง
และมีการศึกษาว่า L-Carnitine ช่วยลดน้ำหนักได้ไม่มาก จนไม่มีความสำคัญในเรื่อง
ของการลดน้ำหนัก
มีการศึกษาหนึ่งได้ทดลองให้ L-Carnitine ในหญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีน้ำหนักเกิน
13 คน และเปรียบเทียบกับยาหลอก (ไม่ได้รับ L-Carnitine) 15 คน และให้รับประทาน
อาหารเหมือนๆกัน และออกกำลังกายเหมือนกัน ไม่พบความแตกต่างในดัชนีมวลกาย
มีการศึกษาอยู่อีกการศึกษาหนึ่งที่นำหญิงอ้วน 36 ราย ให้ L-Carnitine 4 กรัมต่อวัน เป็น
ระยะเวลา 60 วัน ให้ผลไม่แตกต่างจากเม็ดแป้ง ไม่ว่าจะเป็นผลในเรื่องของน้ำหนักตัว
หรือดัชนีมวลกาย แม้แต่การเผาผลาญไขมัน
โดยทั่วไปผลลัพธ์ในเรื่องของการเผาผลาญไขมันโดยใช้ L-Carnitine นั้น แทบจะไม่
ช่วยในเรื่องของการเร่งการเผาผลาญเลย ไม่เคยมีใครลดน้ำหนักส่วนเกินในร่างกายได้
จริงโดยการรับประทาน L-Carnitine เสริมหรอกครับ
L-Carnitine ค่อนข้างที่จะปลอดภัยนะครับ และผลข้างเคียงมีน้อยมากๆ ตอนนี้ยังไม่
ปรากฏว่าทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายใดๆ แต่อย่าลืมครับว่า “ปลอดภัย” ก็ไม่ได้
หมายความว่า “ได้ผล”
ถ้าคุณยังเลือกที่จะใช้ L-Carnitine อยู่ ในหลายๆการศึกษาแนะนำให้รับประทานวันละ
500 มิลลิกรัมต่อวัน (บางการศึกษาใช้มากถึง 5000-6000 มิลลิกรัมเสียด้วยซ้ำ)
ดังนั้นถ้าคุณเห็นในสลากอาหารเสริม(ส่วนใหญ่ ) เขียนไว้ว่ามี L-Carnitine รวมอยู่เพียง
แค่ 20 ,50 หรือ 100 มิลลิกรัมแล้วล่ะก็ ปริมาณเพียงแค่นั้น….ไม่ช่วยอะไรหรอกครับ
ในขณะเดียวกัน ก็เป็นอาหารเสริมที่จัดว่า แพงมาก เมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิต เมื่อ
เปรียบเทียบกับราคา กับผลลัพธ์แล้ว ไม่มีหลักฐานใดที่สนับสนุนว่าช่วยในการลด
ไขมันส่วนเกินได้จริง แต่ถ้าคุณจะรับประทานเพื่อหวังผลในเรื่องของสุขภาพทั่วไป
แล้ว ผมไม่ห้ามครับ
อ้างอิง-The clinical and metabolic effects of rapid weight loss in obese pet cats and the influence of
supplemental oral L-carnitine. - Center SA - J Vet Intern Med - 01-NOV-2000; 14(6): 598-608 (From
NIH/NLM MEDLINE)
-Carnitine does not improve weight loss outcomes in valproate-treated bipolar patients consuming an
energy-restricted, low-fat diet. - Elmslie JL - Bipolar Disord - 01-OCT-2006; 8(5 Pt 1): 503-7 (From
NIH/NLM MEDLINE)
-L-Carnitine supplementation combined with aerobic training does not promote weight loss in
moderately obese women. - Villani RG - Int J Sport Nutr Exerc Metab - 01-JUN-2000; 10(2): 199-207
(From NIH/NLM MEDLINE)
-Weight loss favorably modifies anthropometrics and reverses the metabolic syndrome in
premenopausal women. - Lofgren IE - J Am Coll Nutr - 01-DEC-2005; 24(6): 486-93
ป้ายกำกับ:
แอลคานิทีน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)